วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเข้าสู่เมืองกาญจนบุรี

 ทีมเรามีมติร่วมกันตามคำโฆษณาว่า ถ้ามาเมืองสุพรรณ แล้วไม่ได้แวะมากราบไหว้หลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ ก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองสุพรรณ ด้วยที่วัดป่าเลไลยก์เป็นวัดสำคัญ คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสุพรรณ เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นสถานที่หนึ่งในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ในช่วงวันหยุดจะมีผู้คนมากมายมากราบไหว้ขอพร และยิ่งเป็นวันหยุดยาว จะเป็นที่ที่คนนิยมมากเป็นอันดับต้นๆของจังหวัดสุพรรณ

   ถ้าหากมีโอกาสมาเมืองสุพรรณ สถานที่แรกที่ไม่ควรผ่านเลย... แวะชมความงดงามขอหลวงพ่อโต และกราบไหว้เพื่อเป็นศิริมงคล

เมื่อเราทั้งหมดกราบหลวงพ่อโต แล้วออกเดินทางด่อไปกาญจนบุรี 


 แม้อากาศยามเที่ยงวันจะร้อนจัดผู้คนยังเข้ามากราบไม่ขาดสาย

ผมท่าจะเกินไปสำหรับภาพตัวเองไม่ว่ากันนะครับ
 ด้านหน้า

 ด้านข้าง
 และบริเวณที่จุดเทียนไหว้พระวางดอกไม้ปิดทอง
 เราคงโชคดีกันตลอดการเดินทาง
 มองหามุมเสี่ยงโชคครับ
 วัดกว้างมาก แต่อากษศร้อนสุดๆ เลยไม่ได้เดินทั่วครับเอามุมกว้างก็แล้วกันครับ
คำคมที่ค่อนข้างน้อยไม่เหมือนวัดป่าที่จะมีต้นไม้พูดได้

เอาความรูัสักนิดคัดมาจากเวบไชต์ http://www.suphan.biz/Watpalalai.htm ครับ
ประวัติวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร
   เป็นวัดเก่าแก่ สันนิษฐานว่ามีอายุราว 1200 ปี ตั้งอยู่ริมถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง อยู่ทางฝั่งตะวันตกของลำน้ำสุพรรณ ห่างจากศาลากลางจังหวัด ประมาณ 4 กิโลเมตร ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าวัดป่า ภายในวิหาร เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโต ปางป่าเลไลยก์ 
   ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า ...พระเจ้ากาเตทรงให้มอญน้อย มาบูรณะวัดป่าเลไลยก์ ภายหลังปี พ.ศ. 1724 เล็กน้อย  
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ศิลปะสมัยอู่ทอง สุพรรณภูมิ (คือประทับนั่งห้อยพระบาท)  มีนักปราชญ์หลายท่านว่า เดิมคงเป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา สร้างไว้กลางแจ้งอย่างพระพนัญเชิงสมัยแรกต่อมาได้มีการบูรณะ ซ่อมแซมใหม่ และทำเป็นปางป่าเลไลยก์ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ภายในองค์พระพุทธรูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ 36 องค์ ที่ได้มาจากพระมหาเถรไลยลาย


   วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี หรือท่าจีน ห่างจากฝั่งประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เนื้อที่กว้าง 82 ไร่ 1 งาน มีโบราณสถานอันเป็นประธานของวัด คือ พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ ซึ่งเรียกกันว่า “ หลวงพ่อโตวัดป่าไลไลยก์” 

   ตามหลักฐานเดิมสันนิษฐานกันว่า มีอายุในราวสมัยอู่ทอง เนื่องด้วยขณะนั้น ยังไม่ได้มีการศึกษาค้นคว้า จึงเชื่อกันอย่างนั้นเรื่อยมา เมื่อมีการศึกษาค้นคว้าในระยะหลังๆ ทำให้ทราบได้ว่า วัดป่าเลไลยก์น่าจะมีอายุไม่น้อยกว่า 1000 ปีขึ้นไป โดยมีหลักฐานต่างๆ จากโบราณวัตถุเป็นข้อสนับสนุน อ้างอิง เพียงพอที่จะตั้งเป็นสมมติฐานใหม่ขึ้นได้

   หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ เป็นพระก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 23.47 เมตร สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีลายพระหัตถ์ถึงศาสตราจารย์หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากรว่า “พระพุทธรูปป่าเลไลยก์ เป็นของเก่าก่อนวัตถุอื่น ลักษณะทันสมัยอู่ทอง และสร้างเป็นพระพุทธรูปปางแสดงพระธรรมจักรเหมือนอย่างพระประทานที่พระปฐมเจดีย์ มีกุฏิครอบเฉพาะองค์พระ มาร้างวิหารต่อชั้นหลัง ส่วนองค์พระนั้นเคยชำรุดถึงพระกรหักหาย คนชั้นหลังปฏิสังขรณ์ เมื่อมีความรู้เรื่องพระแสดงปฐมเทศนาสูญเสียแล้วจึงทำเป็นปางป่าเลไลยก์ ความกล่าวในข้อนี้ยังมีข้อสังเกตด้วยพระกรเล็กกว่ากันเกือบข้างหนึ่ง และซุ้มเดิมที่สร้างวิหารก็ยังปรากฏอยู่ “

   ตามที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระวินิจฉัยว่า หลวงวัดป่าเลไลยก์ มีอายุทันสมัยอู่ทองนั้นมีความจริงอยู่บ้าง โดยความเป็นจริงแล้วอาจจะสูงกว่าสมัยอู่ทองขึ้นถึงสมันลพบุรีและทวารวดีเสียด้วยซ้ำไป เมื่อ พ.ศ. 1706 พระเจ้ากระแต ผู้ซึ่งมีเชื้อสายนเรศวรหงสาววดีพาไพรพลมาครองราชย์ที่เมืองพันธุมบุรี ได้ให้มอญน้อยเป็นเชื้อสายพระวงศ์ของพระองค์ ไปสร้างวัดสนามไชยแล้วมาบูรณะ วัดป่าเลไลยก์ในวัดลานมะขวิด แขวงเมืองพันธุมบุรี เมื่อข้าราชการบูรณะวัดแล้วพากันออกบวชเสียสิ้นสองพันคน จึงขนานนามเมืองใหม่ว่า “เมืองสองพันบุรี” พระเจ้ากาแตอยู่ในราชสมบัติ 40 ปี สวรรคต พ.ศ.1741 ซึ่งในช่วงนี้อยู่ในสมัยลพบุรี

   โดยพุทธลักษณะของหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์แล้ว พระพักตร์มีเค้าเป็นศิลปะอู่ทองกลาย ๆ เพราะพระหนุ (คาง) เป็นเหลี่ยม ความเป็นจริงแล้วพระหนุเป็นเหลี่ยม นี่ส่อเค้าให้เห็นว่าได้รับอิทธิพลถ่ายทอดมาจากศิลปะทวารวดี

   หลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ได้รับการบูรณะถึง 3 ครั้ง ครั้งแรก เมือ พ.ศ.1706 โดยมอญน้อย ครั้งที่ 2 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์ อมรินทร์ ในราชกาลที่ 3 กษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงโปรดให้พระยาสีหราชเดโชไชย ไปสร้างวิหารวัดป่าเลไลยก์ ครั้งที่ 3 ในราชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้พระยานิกรบดินทร์ มาบูรณะปฏิสังขรณ์

   การบูรณปฏิสังขรณ์ในราชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้น อันสืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะที่ยังไม่ได้ครองราชย์ พระองค์ทรงผนวชเสด็จธุดงค์มาจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อนมัสการหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลกย์ ทรงพบเห็นวัดป่าเลไลยก์รกร้าง ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา และปกครองวัด จึงทำให้สภาพของวัดป่าเลไลยก์เสื่อมโทรมมาก เมื่อเข้านมัสการหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ แล้วทรงอธิษฐานว่า ถ้าหากได้ขึ้นครองราชย์เมื่อไดก็จะมาบูรณะปฏิสังขรณ์ถวาย เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ในช่วงของการครองราชย์ โปรดเกล้าให้พระยานิกรบดินทร์มาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดป่าเลไลยก์ โดยขุดคลองตั้งแต่วัดประตูสาร ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณ ล่องแพซุงเข้าไปจนถึงวัดป่าเลไลยก์ สร้างหลังคาข้างละสองชั้น ทำฝาผนังรอบนอก รวมหลังคาพระวิหาร ข้างละ 5 ชั้น พร้อมซ่อมองค์หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ด้วย สร้างพระพุทธรูปไว้อีก 2 องค์ อยู่ในวิหารเบื้องหน้าหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ทั้งซ้ายและขวา ประดิษฐานตราพระมงกุฏอยู่ที่หน้าบันพระวิหารเป็นเครื่องหมา








วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

ถึงวัดถ้ำเสือ เหลือเชื่อ และแล้วได้เข้าใจ..


หลวงพ่อชินประทานพร

ตามที่ผู้เขียนเกริ่นไว้ว่าหนึ่งเหตุผลที่อยากมาเที่ยวครั้งนี้คือความสงสัยว่า ศาลาที่ครอบองค์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ของวัดถ้ำเสือนั้นสร้งออกแบบยังไงถึงได้สามารถโต้ลมแรงได้ทั้งที่อยู่บนที่สูง พอไปถึงก็ไปเดินวนรอบองค์พระถึงได้เข้าใจว่ามันไม่ได้ทึบ มันเป็นการสร้างบานเกล็ดด้วยปูนขนาดใหญ่ไว้บังแดดให้องค์พระ พร้อมกัยประดับตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนช้อยตระการตา ลองติดตามดูภาพที่ได้พยายามถ่ายมาทุกมุมด้านหลังองค์พระ  และที่ประทับใจคือเขาลูกเดียวเล็กๆแห่งนี้มีถึงสองวัดรั้วติดกัน แบบว่าถ่ายภาพวัดถ้ำเสือต้องติดเก๋งจีนของวัดถ้ำเขาน้อย  ได้ถ่ายภาพมาทุกๆส่วนของวัดทั้งทางขึ้นเก่าเชิญชมได้ครับ

การสร้างบานเกล็ดด้วยปูนขนาดใหญ่ไว้บังแดดให้องค์พระหลวงพ่อชินประทานพร 

พร้อมกัยประดับตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนช้อยตระการตา
หลังซุ้มพระ มีช่องให้ลมผ่านได้จึงตัดปัญหาโต้ลมแรงจะล้มได้


ตกแต่งลวดลายต่างๆสวยงาม



ระหว่างเส้นทางไปวัดถ้ำเสือ


ที่สังเกตุคือเสาไปใช้ปลาสีทองมาประดับ น่าจะบอกว่าเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยปลา

มีปลาหลายท่าทั้งแบบว่ายธรรมดา และติดเบ็ดโคมไฟ

รถราสบายไม่มากเกินไป

เส้นทางผ่านเขื่อนแม่กลอง





เอาข้อมูลจากท่องเที่ยวเมืองกาญจนบุรีมาฝากเพิ่มครับ
วัดถ้ำเสือ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงไม่น้่อย รวมถึงยังถือว่าเป็นวัดที่มีพระที่มีองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี พระเจดีย์ที่มีความสวยงามโดดเด่น สามารถมองเห็นได้จากในระยะไกล เพราะตั้งอยู่บนเนินเขา ใครที่มาเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี สามารถแวะเยี่ยมชมวัด สักการะพระบรมสารีริกธาตุภายในพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท และนมัสการหลวงพ่อชินประทานพร

วัดถ้ำเสือตั้งอยู่บนเนินเขา ในตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง เป็นอำเภอที่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองกาญจนบุรี เดิมเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณถ้ำเสือด้านล่างริมเนินเขา ต่อมาได้แรงศรัทธาจากชาวบ้าน ร่วมกันสร้างและบูรณะ จนกลายเป็นวัดที่ใหญ่โต และมีความวิจิตรงดงาม

เมื่อไปถึงวัดถ้ำเสือด้านหน้าจะเป็นลานจอดรถ และร้านขายของกิน ของฝากต่างๆ ศาลาด้านล่างติดกับบริเวณที่จอดรถ เป็นศาลาการเปรียญประดิษฐานสังขารหลวงปู่ชื่น ที่บรรจุอยู่ในโลงแก้ว มีศาลาประดิษฐานรูปหล่อเจ้าอาวาสหลวงพ่อสิงห์ หลวงพ่อชื่น ซึ่งหลวงพ่อสิงห์เป็นพระธุดงค์ที่มาพบถ้ำเสือ ส่วนหลวงพ่อชื่นเป็นผู้บูรณะปฏิสังขรวัด และยังมีส่วนที่เป็นถ้ำ ที่แบ่งออกเป็น 4 ห้อง มีห้องโถงใหญ่ประดิษฐานพระประธาน 2 ห้องสำหรับหลวงพ่อชื่นมาบำเพ็ญภาวนา และห้องประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม

การขึ้นไปบนเขาที่ประดิษฐานหลวงพ่อชินประทานพร และพระเจดีย์ ทำได้ทั้งเดินขึ้นบันไดนาคด้านหน้า ที่มีจำนวน 157 ขั้น ชันประมาณ 60 องศา หรือสามารถซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้านั่งไปกลับ (ไม่ต้องเดิน) ในราคาเพียง 10 บาท เมื่อขึ้นไปถึงบนเขาบริเวณวัด ด้านซ้ายติดกับบริเวณรถรางจะเป็นพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

เดินตรงไปด้านหน้าจุดเด่นจุดแรกคือ พระชินประทานพร พระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ด้านซ้ายขององค์พระเป็นวิหาร ส่วนด้านขวาเป็นพระอุโบสถอัฏมุข นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่วัดมักจะสักการะพระชินประทานพรก่อน แล้วค่อยขึ้นไปยังพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท เพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และชมวิวทิวทัศน์ แบบ 360 องศา ซึ่งด้านหน้าวัดจะเห็นลำน้ำแม่กลอง ด้านหลังเป็นท้องทุ่งนาเขียวขจี ส่วนด้านข้างติดกับองค์พระเจดีย์ เป็นเก๋งจีนของวัดถ้ำเขาน้อย


ถึงลานวัดวันนี้คนน้อย


ทีมงานเริ่มคุ้นเคยกับกล้องเริ่มมีท่าทาง 

ละลายพฤติกรรม

ด้วยการแสดงท่าตามใจ

บันใดขึ้นที่ชันมากจนเรากลัวๆ แต่ก็ต้องเดินขึ้นเพราะกระเช้างดบริการแล้ว

มีราวจับค่อยๆเดินถนอมหัวเข่า


เล่นกล้องเช่นเคย

ยืนระเบียงวัดสวยงามมากเห็นไปไกลสุดสายตา

สนุกกับนายแบบนางแบบอย่าเพิ่งเบื่กันนะครับ

เน้นวิวนะครับ

สวยสุดสายตา

หลวงพ่อชินประทานพร





พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท


พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

มองเห็นเก๋งจีนวันถ้ำเขาน้อยด้วย

เอานิดหนึ่งเพื่อนที่ทำให้ได้มาถึงวัดอย่างปลอดภัย

พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

อ้าปากรับลมเย็นไม่ใช่ขี้นก 

ขอแบล็คกราวหน่อย

นางแบบวัยไกล้เกษียน

พระเจดีย์เกศแก้วปราสาทอีกมุม

หามุมกล้อง มุมกลองระฆัง












อยากให้เห็นเจดีย์แบบจีน

เจดีย์วัดถ้ำเขาน้อย

ทุ่งนาหลังวัด

วิหารจตุรมุข


มองไกลๆเห็นวัวฝูงใหญ่กำลังเดินตามถนน



พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

เล่นกับภาพวาดซุ้มประตู






พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท



เพิ่มคำอธิบายภาพ



พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท

พระอุโบสถอัฏมุข


พระอุโบสถอัฏมุข




ทางขึ้นวัดอีกด้านดูท่าจะไม่คอ่ยได้ใช้งาน






สงสารธงชาติไทยนะครับ









ฝูงวัวมองเห็นแต่ไกล ไปไหนเห็นวัวควายก็ใจชื้นตามประสาหมอสัตว์ครับ









เรียกเล่นๆไปก่อนว่าพวงชมพู แต่เออสีม่วงนี่นา


ดอกอะไรใครรู้จัก สวยดีออกดอกพอดีที่เราไปเที่ยว

เพิ่มคำอธิบายภาพ




พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท


ดอนขาลงเดินมาทางที่ผ่านถ้ำภาวนาของหลวงปู่แต่ประตูปิดไม่ได้เข้าไปกราบ ไหว้อยู่หน้าถ้ำ





เดินชมวัดไหว้พระแล้ว อุดหนุนไอติมร้านค้าข้างวัดครับ


ร้อน ไอติมละลาย


ก่อนกลับจากวัดแอ๊คชั่นกันอีกรอบ